การสังเคราะห์เเสง
การสังเคราะห์แสง คือ กระบวนการซึ่งพืชสังเคราะห์สารอินทรีย์จากสารประกอบ อนินทรีย์ โดยมีแสงปรากฏอยู่ด้วย สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องการพลังงานเพื่อใช้ในการเจริญเติบโตและรักษาสภาพเดิมให้คงอยู่ สาหร่าย พืชชั้นสูง และแบคทีเรียบางชนิดสามารถรับพลังงานโดยตรงจากแสงอาทิตย์ และใช้พลังงานนี้ในการสังเคราะห์สารที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ แต่สัตว์ไม่สามารถรับพลังงานโดยตรงจากแสงอาทิตย์ ต้องรับพลังงานโดยการบริโภคพืชและสัตว์อื่น ดังนั้นแหล่งของ พลังงานทางเมตาบอลิสม์ในโลกคือ ดวงอาทิตย์ และกระบวนการสังเคราะห์แสง จึงจำเป็นสำหรับชีวิตบนโลก ประโยชน์ของการสังเคราะห์แสง
1. เป็นกระบวนการสร้างอาหารเพื่อการดำรงชีวิตของพืช
2. เป็นกระบวนการซึ่งสร้างสารประกอบชนิดอื่น ซึ่งจำเป็นต่อกระบวนการเจริญ
เติบโตของพืช
3. เป็นกระบวนการซึ่งให้ก๊าซออกซิเจนแก่บรรยากาศ
4. ลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ให้อยู่ในสภาวะสมดุล
กระบวนการสังเคราะห์แสง |
Emerson Enhancement Effect และ Photosystems |
Enzymatic Reaction |
การจับ CO2ของพืชอวบน้ำ |
Photorespiration |
ปัจจัยที่ควบคุมการสังเคราะห์แสง |
การที่พืชรับพลังงานแสงจากดวงอาทิตย์ได้โดยตรงนี้ พืชต้องมีกลไกพิเศษ คือ มีรงควัตถุ (Pigment) สีเขียว ซึ่งเรียกว่า คลอโรฟิลล์ (Chlorophylls) ซึ่งมีโครงสร้างประกอบด้วยวงแหวน Pyrrole 4 วง เรียงติดกัน มี Mg อยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นส่วนที่ดูดแสงเรียกว่า Head ส่วน Tail คือ Phytol ซึ่งคลอโรฟิลล์เป็นรงควัตถุที่ปรากฏอยู่ในคลอโรพลาสต์ ทำหน้าที่ในการจับพลังงานจากแสง ซึ่งโครงสร้างของคลอโรพลาสต์นี้ได้กล่าวถึงแล้วในบทที่ 1 นอกจากคลอโรฟิลล์แล้ว รงควัตถุที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์แสงยังมีคาโรทีนอยด์ (Carotenoids) และไฟโคบิลินส์(Phycobilins) สิ่งมีชีวิตที่สังเคราะห์แสงได้จะมีรงควัตถุหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งชนิด รงควัตถุเหล่านี้แสดงอยู่ในตารางที่ 4.1
คลอโรฟิลล์ เอ นั้นจัดว่าเป็น primary pigment ทำหน้าที่สังเคราะห์แสงโดยตรง ส่วนรงควัตถุชนิดอื่น ๆ ต้องรับแสงแล้วจึงส่งต่อให้คลอโรฟิลล์ เอ เรียกว่าเป็น Accessory pigment ในพืชชั้นสูงทั่ว ๆ ไปจะมีคลอโรฟิลล์ เอ มากกว่าคลอโรฟิลล์ บี ประมาณ 2-3 เท่า ส่วนแบคทีเรียบางชนิด เช่น Green bacteria และ Purple bacteria จะมีรงควัตถุซึ่งเรียกว่า Bacteriochlorophyll
ซึ่งปรากฏอยู่ในไธลาคอยด์ การสังเคราะห์แสงของแบคทีเรียจะต่างจากการสังเคราะห์แสงของพืชชั้นสูง เพราะไม่ได้ใช้น้ำเป็นตัวให้อีเลคตรอนและโปรตอน แต่ใช้ H2S แทน และเมื่อสิ้นสุดการสังเคราะห์แสงจะไม่ได้ก๊าซออกซิเจนออกมา แต่จะได้สารอื่น เช่น กำมะถันแทน
ตารางที่ 4.1 รงควัตถุที่ปรากฏอยู่ในพืชชนิดต่าง ๆ
ชนิดของรงควัตถุ | ช่วงแสงที่ดูดกลืนแสง(nm) | ชนิดของพืช | |
คลอโรฟิลล์ | |||
คลอโรฟิลล์ เอ | 420, 660 | พืชชั้นสูงทุกชนิดและสาหร่าย | |
คลอโรฟิลล์ บี | 435, 643 | พืชชั้นสูงทุกชนิดและสาหร่ายสีเขียว | |
คลอโรฟิลล์ ซี | 445, 625 | ไดอะตอมและสาหร่ายสีน้ำตาล | |
คลอโรฟิลล์ ดี | 450, 690 | สาหร่ายสีแดง | |
คาร์โรทีนอยด์ | |||
เบตา คาร์โรทีน | 425, 450, 480 | พืชชั้นสูงและสาหร่ายส่วนใหญ่ | |
แอลฟา คาร์โรทีน | 420, 440, 470 | พืชส่วนใหญ่และสาหร่ายบางชนิด | |
ลูตีออล (Luteol) | 425, 445, 475 | สาหร่ายสีเขียว สีแดงและพืชชั้นสูง | |
ไวโอลาแซนธอล | 425, 450, 475 | พืชชั้นสูง | |
(Violaxanthol) | |||
แกมมา คาร์โรทีน | - | แบคทีเรีย | |
ฟูโคแซนธอล(Fucoxanthol) | 425, 450, 475 | ไดอะตอมและสาหร่ายสีน้ำตาล | |
ไฟโคบิลินส์ | |||
ไฟโคอีรีธรินส์ | 490, 546, 576 | สาหร่ายสีแดง และสาหร่ายสีน้ำเงิน | |
(Phycoerythrins) | |||
ไฟโคไซยานินส์ | 618 | สาหร่ายสีน้ำเงินแกมเขียว และ | |
(Phycocyanins) | สาหร่ายสีแดงบางชนิด |
เนื้อหาดีน่าอ่าน
ตอบลบน่าจะมีย่อหน้าบ้างนะคะ
ตอบลบเนื้อหาเยอะไปน่ะค่ะ
ตอบลบเนื้อหาดี
ตอบลบสวยค่ะ น่าอ่าน
ตอบลบ